หากน้องคนไหนไปสอบพรีเทสของสาธิตประสานมิตร
– Trilingual Plus วันที่ 3 พฤศจิกายน 2567
– ปกติสอบเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2567
วันนี้จะพามาดู วิธีการวิเคราะห์คะแนนพรีเทส เพื่อช่วยให้น้องๆ และผู้ปกครองเข้าใจผลคะแนนมากขึ้น พร้อมทั้งเรียนรู้ว่า:
- ดูคะแนนยังไง?
- ค่า T รวม หายังไง ?
- ต้องได้คะแนนเท่าไหร่ ถึงจะมีโอกาสสอบติด?
- เพิ่มค่า T ได้ยังไง?
จำนวนผู้เข้าสอบ: 1,514 คน
- ป.4 จำนวน 102 คน
- ป.5 จำนวน 477 คน
- ป.6 จำนวน 935 คน
วันสอบ: 3 พฤศจิกายน 2567
วันประกาศผล: 7 พฤศจิกายน 2567
จำนวนผู้เข้าสอบ: 2,403 คน
-
- ป.4 จำนวน 18 คน
- ป.5 จำนวน 660 คน
- ป.6 จำนวน 1,625 คน
- วันสอบ: 1 ธันวาคม 2567
- วันประกาศผล: 9 ธันวาคม 2567
จำนวนข้อสอบของทั้ง 2 หลักสูตร
- วิชาคณิตศาสตร์: เต็ม 25 คะแนน (Tri+ ฉบับไทย 20 ข้อ + อังกฤษ 5 ข้อ)
- วิชาภาษาไทย: เต็ม 60 คะแนน
- วิชาวิทยาศาสตร์: เต็ม 50 คะแนน (Tri+ ฉบับไทย 40 ข้อ + อังกฤษ 10 ข้อ)
- วิชาภาษาอังกฤษ: เต็ม 60 คะแนน
เมื่อดูผลคะแนน พรีเทส ไม่ว่าจะเป็นของโปรแกรม Tri+ หรือภาคปกติ สิ่งสำคัญที่น้องๆและผู้ปกครองต้องดูคือ “ค่า T” หรือที่เรียกว่าคะแนนมาตรฐาน T-Score เพราะค่า T สามารถช่วยให้เราเปรียบเทียบคะแนนของตัวเองกับผู้เข้าสอบคนอื่นๆ ได้อย่างชัดเจน
ค่า T คืออะไร?
ค่า T หรือ T-Score เป็นคะแนนที่คำนวณจากผลสอบ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับคะแนนให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน ทำให้สามารถเปรียบเทียบผลคะแนนระหว่างผู้สอบทั้งหมดได้ ไม่ว่าจะมาจากกลุ่มไหน คะแนนค่า T จะช่วยให้เราทราบว่าเราอยู่ในระดับใดของผู้เข้าสอบทั้งหมด เช่น:
- T = 50 หมายถึง คะแนนอยู่ที่ “ค่าเฉลี่ย” ของผู้สอบ
- T > 50 หมายถึง คะแนนสูงกว่าค่าเฉลี่ย
- T < 50 หมายถึง คะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
ทำไมค่า T ถึงสำคัญ?
การสอบที่มีการแข่งขันสูง เช่น พรีเทสของโรงเรียนสาธิต การวิเคราะห์คะแนนที่ดีจะใช้ค่า T เป็นตัวชี้วัดสำคัญ เพราะ:
- ค่า T ทำให้คะแนนของน้องๆ ถูกเปรียบเทียบกับผู้เข้าสอบทั้งหมดในสนามสอบ
- ค่า T ที่สูง เช่น 65 ขึ้นไป แสดงถึงความโดดเด่นและเพิ่มโอกาสสอบติดมากขึ้น
การคำนวณค่า T ทำได้ง่ายๆ ใน 3 ขั้นตอน:
- หาค่า Z
- หาค่า T ในแต่ละวิชา
- หาค่า T รวม
ยกตัวอย่างการคำนวณคะแนนค่า T ของแต่ละวิชา
โดยใช้ 3 ขั้นตอนด้านบน
หาค่า T รวมของทั้ง 4 วิชา
จะเห็นว่าค่า T รวม ที่คำนวณได้ = 64.839 ตรงกับ คะแนนมาตราฐาน T เฉลี่ยที่ปรากฏในคะแนนสอบของน้องๆ
ตัวอย่างค่า T กับโอกาสสอบติด
ค่า T | เปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่าผู้อื่น |
---|---|
50 | 50% |
60 | 84% |
65 | 93% |
70 | 98% |
สรุป: การได้ค่า T สูง เช่น 65 ขึ้นไป จะเพิ่มโอกาสสอบติดในสนามสอบ
ค่า T หรือ T-Score เป็นคะแนนที่คำนวณจากผลสอบ โดยเราจะแปลงค่า T ที่ได้ เป็นค่า P หรือ เปอร์เซนต์ ดูได้จากตารางคำนวณด้านบน
สมมตินาย A สอบได้ค่า T = 65 จะตรงกับ % ที่เหนือคนอื่น 93.32
(ประมาณเป็น 93%)
คนสอบ 100 คน นาย A คะแนนมากกว่า คนอื่น 93 คน แสดงว่า ” นายA สอบได้ที่ 7″
ถ้าคนสอบ 100 คน นาย A สอบได้ที่ 7
ถ้าคนสอบ 1,000 คน นาย A สอบได้ที่ 70
ถ้าคนสอบ 2,000 คน นาย A สอบได้ที่ 140
หากต้องการทำ T รวมมากกว่าหรือเท่ากับ 65 มีวิธีการปรับคะแนนหลายแบบดังนี้
Option 1 : เพิ่มคะแนนวิชาที่น้อย
เน้นเพิ่มคะแนนวิชาที่ค่า T น้อยกว่า 65 ให้วิชานั้นมีค่า T = 65 ซึ่งจะทำให้ค่า T รวม = 65 โดยอัตโนมัติ เพราะทุกวิชาจะมีค่าเฉลี่ยที่ 65 เท่ากัน
วิชาที่ต้องปรับค่า T:
- ภาษาไทย: ค่า T เดิม = 61.660 → ปรับขึ้นเป็น 65
- วิทยาศาสตร์: ค่า T เดิม = 63.340 → ปรับขึ้นเป็น 65
- ภาษาอังกฤษ: ค่า T เดิม = 63.801 → ปรับขึ้นเป็น 65
Option 2: เพิ่มคะแนนวิชาที่มาก
วิธีนี้เน้นเพิ่มคะแนนในวิชาที่มีค่า T สูง (คณิตศาสตร์) เพื่อชดเชยค่า T ของวิชาอื่นที่ต่ำกว่า 65 ทำให้วิชาที่ T ต่ำกว่า 65 ไม่จำเป็นต้องปรับคะแนนสูงมาก
- เพิ่มค่า T ของวิชาคณิตศาสตร์ (T เดิม = 70.557) → T ใหม่ = 75
- คงวิชาอื่นในระดับเดิม (ภาษาไทย, วิทยาศาสตร์, ภาษาอังกฤษ)
ทำให้ T รวมเกิน 65 ได้โดยที่ไม่ต้องเพิ่มทุกวิชาให้ถึง 65
Option 3: เพิ่มคะแนนทุกวิชาเล็กน้อย
เพิ่มคะแนนในทุกวิชาให้ค่า T ขยับขึ้นเท่าๆ กัน เพื่อให้ค่าเฉลี่ยรวม = 65 โดยไม่ต้องเน้นปรับเฉพาะบางวิชา ตัวอย่าง:
- เพิ่มคณิตศาสตร์จาก T = 70.557 → 71
- เพิ่มภาษาไทยจาก T = 61.660 → 64
- เพิ่มวิทยาศาสตร์จาก T = 63.340 → 65
- เพิ่มภาษาอังกฤษจาก T = 63.801 → 65
ทำให้ T รวม = 65.25
สรุป
-
หากต้องการเสริมจุดอ่อน เลือก Option 1
-
หากต้องการเพิ่มจุดแข็ง เลือก Option 2
-
หากต้องการเสิรมทั้งจุดอ่อนและเพิ่มจุดแข็ง เลือก Option 3
คำแนะนำ:
คุณพ่อคุณแม่อาจจะดูว่าน้องๆ ถนัดวิชาใด และวางแผนปรับคะแนนตามความเป็นไปได้ เพื่อเพิ่มโอกาสสอบติดในสนามสอบจริง! 😊
หากอยากได้ค่า T = 65 ในวิชาคณิตศาสตร์ต้องทำคะแนนได้ประมาณ 18 คะแนน (ปัดขึ้นจาก 17.543)
เพิ่มเติม ต่อให้เราได้ 18 คะแนน ในตอนสอบจริง ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้ T = 65 เพราะ ค่า T เกิดมาจาก คะแนนที่เราได้ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี้ยงเบนมาตราฐาน
ถ้าจำนวนผู้เข้าสอบเปลี่ยนไป หรือข้อสอบยาก/ง่ายขึ้น ค่า T ก็จะไม่ได้เหมือนเดิมเพราะฉะนั้นในการสอบแต่ละครั้ง เพื่อให้ได้ T = 65 จะไม่ได้หมายความว่าต้องได้ 18 ข้อทุกครั้ง
ทุกๆ 1 คะแนนที่น้องๆ ทำได้ในแต่ละวิชา จะส่งผลต่อค่า T ที่เพิ่มขึ้นไม่เท่ากัน เช่น ในวิชาคณิตศาสตร์ ทุก 1 คะแนนจะเพิ่มค่า T ประมาณ 2.262 ในขณะที่ในวิชาภาษาไทย ทุก 1 คะแนนจะเพิ่มค่า T ประมาณ 1.543 แสดงให้เห็นว่าแต่ละวิชาค่า T ที่เพิ่มหรือลดจะแตกต่างกันไป
อย่างไรก็ตาม ค่า T ที่เพิ่มขึ้นในแต่ละการสอบพรีเทสครั้งนี้ไม่สามารถนำมาอ้างอิงเป็นมาตรฐานเดียวกันได้เสมอไป เพราะปัจจัยสำคัญ เช่น จำนวนผู้เข้าสอบ คะแนนสอบ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน มีความแตกต่างกันในแต่ละสนามสอบ
สุดท้ายแล้ว สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่การเปรียบเทียบกับคนอื่น แต่คือการเตรียมตัวและพัฒนาตัวเองให้พร้อมในทุกสนามสอบ ฝึกฝนทำโจทย์ อ่านหนังสือวันละนิด ทุกๆวัน เก่งขึ้นกว่าเมื่อวาน แค่นี้ก็ช่วยให้น้องๆพร้อมที่จะก้าวไปลงสู่สนามสอบเข้าม.1โรงเรียนสาธิตได้อย่างมั่นใจ! 😊